วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Tony Iommi



Artist : Tony Iommi
Album : The 1996 DEP Sessions
Year : 2004
Genre : Heavy Metal
Country : England
 
line up
Tony Iommi - guitar
Glenn Hughes - vocals, bass
Don Airey - keyboards
Geoff Nicholls - keyboards
Mike Exeter - keyboards
Dave Holland - drums


ZANISTER



Artist : ZANISTER
Album : Symphonica Millennia
Year : 1999
Genre : Melodic Power Metal
Country : USA
line up
David T. Chastain - guitar
Michael Harris - guitar
Brian Sarvela - vocals
James Martin - bass
Brian Harris - drums

SKYLARK


Artist : SKYLARK
Album : Divine Gates Part I : Gate of Hell 
Year : 1999
Genre : Symphonic Power Metal
Country : Italy
line up
Eddy Antonini - keyboards, piano, harpsichord
Fabio Dozzo - vocals
Roberto "Brodo" Potenti - bass
Federico Ria - drums
Fabrizio "Pota" Romani - guitar
Nico Tordini - guitar



Artist : SKYLARK
Album : Divine Gates Part II : Gate of Heaven
Year : 2000
Genre : Symphonic Power Metal
Country : Italy
line up
Eddy Antonini - keyboards, piano, harpsichord
Fabio Dozzo - vocals
Roberto "Brodo" Potenti - bass
Federico Ria - drums
Fabrizio "Pota" Romani - guitar
Nico Tordini - guitar

MAYHEM



Artist : MAYHEM
Album : Live in Leipzig 
Year : 1994
Genre : Black Metal
Country : Norway
 
line up
Euronymous - guitar
Dead - vocals
Necrobutcher - bass
Hellhammer - drums

Timo Tolkki


 
Artist : Timo Tolkki
Album : Classical Variations and Themes 
Year : 1994
Genre : Neo-Classical 
Country : Finland
 
line up
Timo Tolkki  - guitar, bass, vocals
Antti Ikonen - keyboards
Tuomo Lassila - drums

LACRIMOSA



Artist : LACRIMOSA
Album : Elodia 
Year : 1999
Genre : Symphonic Gothic Metal
Country : Switzerland
 
line up
Tilo Wolff  - vocals, piano
Anne Nurmi - vocals, keyboards
Andrew Chudy - drums
Sascha Gerbig - guitar
Gottfried Koch - guitar
Jay P - bass

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

AVANTASIA


 
Artist : AVANTASIA
Album : The Metal Opera Pt.2
Year : 2002
Genre : Melodic Power Metal
Country : Germany

line up
Tobias Sammet - vocals, keyboards
Henjo Richter - guitars
Markus Grosskopf - bass
Alex Holzwarth - drums

     Side project ที่สร้างความฮือฮาในแวดวง melodic metal ของเยอรมันและทางแถบยุโรปไม่น้อย ภายใต้ไอเดียและ concept ของ Tobias Sommer นักร้องนำวง Edguy วง melodic power metal หัวก้าวหน้า
      เริ่มต้นจากดนตรีที่ขายไอเดียความเป็น concept อัลบั้มทั้งอัลบั้มที่มีความต่อเนื่องของภาคดนตรี ตั้งแต่เพลงแรกเปิดอัลบั้ม จนถึงเพลงปิดท้ายอัลบั้ม อัลบั้มชุดนี้เป็น concept ของภาค 2 หลังจากที่เคยออกภาค 1 ไปแล้วในปี 2001 ซึ่งแนวทางการนำเสนอตัวงานก็ยังไม่ทิ้งห่างหรือแตกต่างกันมากนัก เพียงแต่มีการมาช่วยเหลือและมาร่วมงานของนักดนตรีที่มากหน้าหลายตามากขึ้น ตั้งแต่ตัวยืนคือ Tobias Sammet  ที่นอกเหนือจะทำงานดนตรีเองทั้งหมดและรับหน้าที่ร้องนำ รวมทั้งเล่นคีย์บอร์ดกับเบสเอง ในบางเพลงก็มี Henjo Richter มือกีตาร์จาก Gamma Ray, Markus Grosskopf มือเบสจาก Helloween และ Alex Holzwarth มือกลองจาก Rhopsody มาเป็นสมาชิกหลักของ project วงนี้ พร้อมด้วยแขกรับเชิญในแวดวง melodic metal สายยุโรปโดยเฉพาะอีกมากมายที่ต่างปลีกเวลามาร่วมและช่วยงานในแต่ละเพลง ไม่ว่าจะเป็น Kai Hansen (Helloween), Timo Tolkki (Stratovarius), Rob Rock (Impellitteri), Andre Matos (Shamam, ex. Angra), Michael Kiske และอีกมากมายร่วมสิบชีวิต
     งานดนตรีโดยรวมก็บอกได้ว่ามีกลิ่นอายของ Edguy ที่ยังไม่หนีห่างกันมาก เพราะความเป็น mastermind ของ Tobias ก็แทบแยกไม่ออกอยู่แล้วในความเป็นวง Edguy เพียงแต่ว่าโปรเจ็กต์ส่วนตัวนี้ภาคดนตรีมีความเป็น symphonic และเรียบเรียงในแบบ orchestration ค่อนข้างสูงมากกว่า เน้นโครงสร้างของความเป็นดนตรี classical ที่ซับซ้อนและหลากหลาย โดยให้ความสำคัญกับการเรียบเรียงเสียงประสานมากกว่าซาวด์ความหนักหน่วงของความเป็น melodic metal สไตล์ แต่ละเพลงจะมีการโยกย้ายภาคริธึ่ม ในอัตราส่วนต่างๆ ตลอด โดยเน้นเมโลดี้ที่สวยงามและติดหู ให้งานดนตรีฟังง่าย รวมทั้งไลน์ของโซโลกีตาร์กับเปียโนและคีย์บอร์ดที่เล่นติด molodic ตลอดทุกเพลง
      ใครที่เคยชิดมักคุ้นกับงานของ Edguy ดีอยู่แล้ว ฟังอัลบั้มนี้ก็คงมองเห็นตัวตนและความสามารถในการเขียนเพลงของ Tobias มากขึ้น นี่แหละครับ เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่เปี่ยมความสามารถจริงๆ เพราะนอกจากจะเขียนเพลง ทำเพลงเองทั้งหมดแล้ว ก็ยังเล่นเครื่องดนตรีได้อีกเกือบครบทุกประเภท ยิ่งมีแขกรับเชิญอย่างมากมายมาช่วยงาน ก็ยิ่งทำให้อัลบั้มนี้มีสีสันที่แตกต่างมากขึ้นไปอีก ทั้งเสียงร้องนำ และซาวด์กีตาร์ที่ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเพลง ฟังแล้วคุณจะไม่แปลกใจครับว่าทำไมโปรเจ็กต์นี้จึงฮือฮามาก เป็นอัลบั้มอีกชุดของชาว melodic power metal ที่ทำออกมาเพื่อชาว melodic power metal โดยเฉพาะ ขอแนะนำให้ฟังตั้งแต่เพลงแรกของอัลบั้มจนจบอัลบั้มทั้งชุดรวดเดียว เพื่อซึมซับรายละเอียดต่างๆ ในตัวงาน หากคุณเป็นชาว melodic power metal งานที่สมบูรณ์ในแนวทางการทำงานแบบนี้ ผมเชื่อว่าคุณคงไม่ลืมกัน และเก็บไว้เป็น collection ส่วนตัวเด็ดขาด

BLACK SABBATH


 
Artist : BLACK SABBATH
Album : Heaven and Hell
Year : 1980
Genre : Heavy Metal
Country : England

line up
Tony Iommi - guitars
Ronnie James Dio - vocals
  Bill Ward - drums
Geezer Butler - bass

      ความยิ่งใหญ่ของ Black Sabbath วงนี้นั้น สามารถเขียนเป็นหนังสือเล่มโตอย่างหนาได้เล่มหนึ่งอย่างสบาย เพราะนี่คือวงดนตรีที่มีส่วนร่วมเขียนหน้าประวัติศาสตร์ของดนตรี rock ให้สมบูรณ์ นับเนื่องจากปลายทศวรรษที่ 60
     งานที่ผมหยิบขึ้นมาเขียนชุดนี้ Heaven and Hell นั้นคือตำนานหน้าใหม่บทที่ 2 ที่ทางวงสร้างงานออกมา อย่างที่ทราบว่า Black Sabbath ในยุคแรกที่ประกอบไปด้วยสมาชิก Bill Ward (กลอง), Geezer Butler (มือเบส), Ozzy Osbourne (นักร้องนำ) และ Tony Iommi (มือกีตาร์) นั้น หลังจากได้สร้างงานระดับยอดเยี่ยม ทั้งซิงเกิ้ลฮิตไม่ว่าจะเป็น Black Sabbath (1970), War Pigs (1971), Paranoid (1971), Iron Man (1971), และตัวอัลบั้มหลายต่อหลายชุด อาทิเช่น Paranoid (1971), Master of Reality (1971), Black Sabbath, Vol. 4 (1972),  Sabbath Bloody Sabbath (1973) ก่อนที่ในปี 1979 Ozzy นักร้องนำจะเดินออกจากวง เพื่อไปเป็น solo artist แล้ว Black Sabbath ก็ได้นักร้องนำรูปร่างเล็ก แต่พลังปอดและน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างน่ากลัวที่ชื่อ Ronnie James Dio จากอดีตวงของมือกีตาร์เจ้าอารมณ์ Ritchie Blackmore คือ Rainbow มารับหน้าที่แทน Ozzy
     และการได้ Dio มาแทนในตำแหน่งนักร้องนำ ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของทางวง ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นความเป็น Black Sabbath ในทศวรรษใหม่ทันที ทั้งงานดนตรี, concept โครงสร้างของงาน, เนื้อหา และที่โดดเด่นพลิกและสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาใหม่ก็คือ เสียงของ Dio นั่นเอง ซึ่งเสียงที่ทุ้มทรงพลังของเขานั้น จัดว่าอยู่กันคนละขั้วของเสียง Ozzy อย่างหน้ามือเป็นหลังเท้า ซาวด์ดนตรีที่ทำออกมาจึงต้องขับเคลื่อนและดุดัน เพื่อให้รองรับเข้ากับน้ำเสียงของตัว Dio จนผลักดันให้อัลบั้มนี้มีซาวด์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อครั้งสมัยมี Ozzy รับหน้าที่เป็นนักร้องนำ ริฟฟ์กีตาร์ของ Tony นั้นถูกขับเคลื่อนออกมาจากกีตาร์ Gibson SG อย่างหนาทึบ และมวนพุ่ง มีการเพิ่มภาคโซโล่ของกีตาร์ให้ยาวขึ้น ส่วนภาคริธึ่มของกลองและเบสนั้น ก็โดดเด่นด้วยการอุดช่องว่างและเำพิ่มลูกเล่นกับเทคนิคลงไปตลอด เมื่อถึงช่วงโซโล่ในแต่ละเพลง รวมทั้งมีซาวด์ของคีย์บอร์ดมาสร้างบรรยากาศในตัวงานให้ดูลึกลับ และเนื้องานมีมิติ เพราะเนื้ือหาของ Black Sabbath ในยุคที่มี Dio นั้น จะเริ่มเข้าสู่ทั้งเรื่องราวของความเป็น Mystery, มนต์ดำ และตำนาน ที่ชวนพิศวงมากขึ้น เพลงอย่าง Heaven and Hell กับ Neon Knights คือความหนักหน่วงที่ถูกสร้างความน่าสนใจให้มากขึ้นด้วยเนื้อหาอันลุ่มลึก แฝงปรัชญาให้ชวนคิด, Children of The Sea ที่สร้างมิติใหม่กับเพลง metal ด้วยการเปิดแทร็กด้วยอะคูสติกกีตาร์แล้วกระชากคอร์ดกีตาร์ไฟฟ้าแตกสนั่น ตามด้วยเสียงร้องตะเบ็งสุดขั้วหลอดลมกับ Die Young ที่โยกย้ายคีย์ตลอดเพลง ด้วยริฟฟ์ที่มากมาย จนสามารถนำไปเขียนเป็นเพลงได้อีกหลายเพลง และเบรกอารมณ์ด้วยซาวด์คีย์บอร์ด ลดบรรยากาศของเพลงที่ดุดันกับเนื้อหาสุดหดหู่ สองเพลงนี้คือสไตล์ของ Dio ที่ผนวกกับความเป็น Black Sabbath ได้อย่างลงตัว จนยุคถัดๆ มา ทางวงต้องเพิ่มสมาชิกที่เป็นมือคีย์บอร์ดตามมา, Lonely in The World กับริธึ่มเนิบนาม แต่หนักหน่วง และล่องลอยด้วยเสียงคีย์บอร์ด ลากอารมณ์คล้อยตามกับเสียงโซโล่ที่ยาวเหยียด ลูกกัดปิ๊คและลูกดันสายจากนิ้วของ Tony ทั้งชัด ทั้งดุ เข้ากับเสียงร้องของ Dio อย่างแนบเนียน
     อัลบั้มชุดนี้ ออกมาพร้อมกับการเริ่มต้นทศวรรษใหม่ ซึ่งอยู่ในช่วงดนตรี heavy metal กำลังเริ่มปฏิสนธิ และก่อกำเนิดก่อนจะมาบูมสุดขีดในเวลาถัดมา งานชุดนี้จึงเสมือนเป็นงานช่วยเปิดศักราชใหม่ให้ซาวด์ของดนตรี metal มีความชัดเจน และเติบโตอย่างถูกต้อง เป็นทั้งงานชั้นดีที่ถ้าคุณอยากเล่นดนตรี heavy metal ต้องฟัง เริ่มจากทีมเวิร์คในการต้องเล่นเครื่องดนตรี 3 ชิ้น, การคิดค้นท่อนริฟฟ์, การสร้างและปรับแต่งซาวด์ให้หนาทึบดุดัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องเล่นให้หรูหราหรือรกและอึกทึกมาก, ความสามารถเฉพาะตัวขั้นพื้นฐานที่นักดนตรีควรจะมี, การเขียนเนื้อหาของเพลงให้มีมุมมองที่ลุ่มลึก กว้างไกล โดยใช้คำที่สื่อความหมายได้หลากหลายและให้แง่คิด และสุดท้าย เสียงร้องของนักร้องนำที่ต้องมีน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และมีพลังลมของปอดอย่างมากมายเพียงใด ถ้าคิดจะยืนหยัดอยู่ในวงการ heavy metal และมีคนจดจำตลอดไป เพราะ Dio นี่แหละคือหนึ่งในจำนวนนักร้องสาขา heavy metal เพียงไม่กี่คนที่จัดว่าเป็นปูชนียบุคคล และเป็นแม่แบบให้เด็กรุ่นหลังๆ ต้องเดินตาม หากต้องการจะเป็นนักร้องเพลงแนวนี้
     หากคุณอยากรู้ว่าอัลบั้มที่เรียกกันว่า masterpiece นั้นมีความหมายอย่างไร งานชุดนี้มีคำตอบให้คุณเข้าใจได้อย่างกระจ่างทั้งหมด เป็นอัลบั้มอีกหนึ่งชุดที่ยังทรงพลังอยู่ตลอด ไม่ว่าจะหยิบขึ้นมาฟังเมื่อไหร่ เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Black Sabbath และเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลในสาขาดนตรี heavy metal เท่าที่เคยมีการสร้างงานกันมา ตั้งแต่อดีตจวบจนกระทั่งปัจจุบัน.....

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

RAINBOW



Artist : RAINBOW
Album : Long Live Rock 'n' Roll
Year : 1978
Genre : Hard Rock
Country : England

line up
Ritchie Blackmore - guitars
Ronnie James Dio - vocals
Cozy Powell - drums
Tony Carey - keyboards
Bob Daisley - bass

      วงใหม่ของอดีตมือกี่ตาร์เจ้าอารมณ์จากวง DEEP PURPLE -- Ritchie Blackmore ที่ออกมาทำวงของตัวเองภายใต้ชื่อสุดหวาน RAINBOW สายรุ้งสกาวสดใส..... แต่งานดนตรีนั้นแตกต่างกับชื่อวงอย่างสิ้นเชิง!
      Ritchie นั้นได้เพื่อนสมาชิกในวงที่มีฝีมือระดับเดียวกันกับเขามาร่วมวงทั้ง Ronnie James Dio กับ
Cozy Powell จึงทำให้อัลบั้มนี้อัดแน่นไปด้วยเพลงดี ๆ หลายเพลง นอกเหนือจากฝีมือกีตาร์ของเขาเองที่บรรลุและเล่นแบบไม่ต้องลืมตาก็ได้แล้ว แม้จะมีจังหวะอันรวดเร็วดุจจักรผันและการใช้โน้ตในช่วงโซโล่อย่างฟุ่มเฟือย อาทิเช่น เพลงอย่าง Long Live Rock 'n' Roll ที่ลงตัวหมดทั้งไลน์กีตาร์ เสียงร้อง และภาคริธึ่มของทั้งเบสและกลอง, Kill The King เพลงที่เสียงร้องแสนดุดัน กับเสียงกลองอันหนักหน่วง แต่กลับมีเมโลดี้ที่พริ้วไหวของกีตาร์โซโล่อันว่องไว, Gates of Babylon กับโซโล่กีตาร์กันยาวเหยียดโชว์ความเป็น Ritchie Blackmore อันโดดเด่น หรือเพลงปิดอัลบั้มอย่าง Rainbow Eyes ในสไตล์บัลลาดหวานหยดก็ยังมีให้ฟังในอัลบั้มนี้....
     Ritchie กับวงของเขาเองวงนี้สไตล์ของเพลงเกือบจะสลัดคราบและกลิ่นความเป็น DEEP PURPLE ได้เกือบหมด เพราะบางเพลงนั้นแม้ซาวด์จะค่อนข้างหนัก แต่ก็แฝงไว้ด้วยท่อนฮุคที่แรงและเมโลดี้ที่ติดหู แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือซาวด์กีตาร์ของ Ritchie ที่พริ้วไหว สวยงาม โลดแล่นบนเมโลดี้อันมีเสน่ห์หลากหลายที่คล้ายๆ กับอารมณ์ของตัวเขา


JUDAS PRIEST



Artist : JUDAS PRIEST
Album : Defenders of the Faith
Year : 1984
Genre : Heavy Metal
Country : England

line up
Rob Halford - vocals
Glenn Tipton - lead guitars
K.K. Downing - lead guitars
Ian Hill - bass
Dave Holland - drums

      Metal band ตัวจริงอีกหนึ่งวงที่ไม่เคยทรยศแฟนเพลงเลยตั้งแต่ก่อตั้งวงมาเมื่อปี 1969 -- ผ่านกระแสเพลงแฟชั่นตามสมัยนิยมมาหลายยุคทั้ง punk ในบ้านเกิดตัวเอง หรือเื่รื่อยมากับกับความ popular ของแนว alternative แต่ไม่ว่ากระแสเพลงแนวไหนจะฮิตยังไง ก็ยังไม่เคยมีแนวไหนสามารถถาโถมจนทำให้วงนี้หยุดความแรงของความเป็น metal band ลง หรือพัดพากีตาร์ให้หลุดจากมือของมือกี่ตาร์คู่วงนี้
     อัลบั้มนี้ของ JUDAS PRIEST ยังคงไม่ทำให้แฟนเพลงต้องผิดหวังเช่นเคย ตั้งแต่ความหนักหน่วงของซาวด์และความเป็น team work อันแข็งแกร่ง รวมทั้งเอกลักษณ์ของความเป็น JUDAS PRIEST ในเรื่องของกีตาร์คู่ประสานที่มีให้ได้ฟังอย่างจุใจทั้งริธึ่มและโซโล่ 2 ไลน์ที่วิ่งสลับไปมารับส่งกันอย่างเข้าขาและรู้ใจ..... กีตาร์คู่ของวงนี้คือมือกีตาร์ที่ดีที่สุดของวงการ heavy metal ที่ยังไม่มีใครมาเทียบรัศมีได้ในวงการ เห็นที่พอจะเป็นตัวตายตัวแทนได้ก็มีเพียงวงรุ่นน้องอย่าง IRON MAIDEN เพียงวงเดียวเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอๆ กัน
     Defenders of the Faith งานชุดนี้สมชื่ออัลบั้มจริงๆ หากคุณมีศรัทธาอันแรงกล้ากับดนตรี heavy metal และกับวงนี้.....

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

King Diamond



Artist : King Diamond
Album : Abigail
Year : 1987
Genre : Heavy Metal
Country : Denmark

line up
King Diamond - vocals
Andy LaRocque - guitar
Michael Denner - guitar
Timi Hansen - bass
Mikkey Dee - drums

      หลังจากที่ทศวรรษที่ 80 ดนตรี heavy metal นั้นเฟื่องฟูอย่างมากทั้งอเมริกาและยุโรป จนแทบจะฟังและจำชื่อกันไม่หวาดไม่ไหว บางวงโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน บางวงเพียงแค่อัลบั้มเปิดตัวก็ทะลุทะลวงอันดับชาร์ทและขายกันจนยอดถล่มทลาย แต่มีเพียงไม่กี่วงเท่านั้นหลังจากกระแสดนตรี heavy metal แผ่วลงแต่ยังยืนหยัดอยู่ได้ รวมทั้งยังสามารถสร้างงานได้อย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่ง King Diamond วงนี้คือตัวอย่างที่กำลังกล่าวถึง.....
     King Diamond หรือชื่อจริง Kim Bendix Petersen นั้นผันตัวเองมาเป็นศิลปินเดี่ยวตั้งวงของตัวเองหลังจากพับเก็บอดีตวงของตัวเองอีกวงคือ MERCYFUL FATE เอาไว้ชั่วคราวเพื่อมาสร้างงานที่หนักและลุ่มลึกมากขึ้นในนามชื่อวงตัวเอง เริ่มจากภาคริธึ่มที่หนักหน่วงกับไลน์กีตาร์คู่ประสาน บวกลูกโซโล่ที่ติดเมโลดิกอันสวยงาม ลดดีกรีความหนักและสร้างความซับซ้อนของโครงสร้างงานดนตรีด้วยซาวด์ของคีย์บอร์ด ตามด้วยเอกลักษณ์ประจำตัวที่มีแต่ King คนเดียวเท่านั้นในวงการ metal ที่ร้องในแบบเสียง 2 คีย์ ทั้งต่ำ-สูงสลับไปมาตลอดทั้งเพลง ซึ่งยังไม่เคยมีนักร้องคนไหนทำมาก่อน และท้ายสุุดกับเนื้อหาของเพลงที่จะทำให้คุณเปรียบเสมือนได้ท่องไปในโลกแห่งความลึกลับ เต็มไปด้วยเวทมนตร์และความน่าสพรึงกลัวสยองขวัญของมนต์ดำ ที่มีให้คุณฟังจนเปรียบเสมือนเป็น concept album ตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้าย ซึ่งมาจากจินตนาการของ King ทั้งหมด ซึ่งการเขียนเนื้อเพลงในสไตล์นี้ของ King นั้นส่งอิทธิพลให้กับวง black metal ทั้งหลายแหล่ในยุคถัดมาอย่างมาก
     งาน metal สุดหนักที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหาชุดนี้ แม้จะพูดถึงไม่กว้างขวางนัก แต่ถ้าหากคุณก้าวมาทำความรู้จักแล้ว ขอบอกก่อนว่ายากที่จะถอนตัวออกยิ่งนัก.....

UFO



Artist : UFO
Album : Phenomenon
Year : 1974
Genre : Hard Rock
Country : England

line up
Phil Mogg - vocals
Andy Parker - drums
Pete Way - bass
Michael Schenker - guitar

      Hard rock band วัตถุลึกลับสัญชาติอังกฤษกับงานชุดที่ 3 ที่มี single hit ที่ขา rock ทุกคนต่างรู้จักกันดีอย่าง Doctor Doctor, Rock Bottom, Lipstick Traces ที่ทำให้ทางวงดังเป็นพลุบนเกาะอังกฤษ อัลบั้มนี้มาพร้อมกับการเปิดตัวมือกี่ตาร์หนุ่มน้อยชาวเยอรมันคนใหม่ Michael Schenker ที่มาร่วมวงด้วยอายุเพียง 18 ปี!!! แต่ฝีมือจัดจ้านเกินตัวและโซโล่กีตาร์ได้คมกริบและหวานกรีดหัวใจ รวมทั้งทางเดินของนิ้วเป็นไฟตอนไล่สเกล.....
     อัลบั้มนี้สดทั้งตัวงาน ทั้งซาวด์กีตาร์ของ Michael จนหลายคนหันมาจับตาตัว Michael ก่อนที่ตัวเขาเองจะระเบิดฟอร์มการเล่นอันสุดยอดในอัลบั้มถัดๆ มา จนไปถึงการไปเป็นศิลปินเดี่ยวกับวงของตัวเองหลังออกจากวงไป..... Phenomenon งานชุดนี้เป็นปรากฏการณ์ดนตรีอีกหนึ่งอัลบั้มของวงการ hard rock ในทศวรรษที่ 70 ที่ถูกบันทึกไว้แล้วว่าสุดร้อน.....

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

DEEP PURPLE



Artist : DEEP PURPLE
Album : Machine Head
Year : 1972
Genre : Hard Rock
Country : England

line up
Ian Gillan - vocals, harmonica
Ritchie Blackmore - guitars
Roger Glover - bass
Ian Paice - drums, percussion
Jon Lord - keyboards

     หนึ่งในอัลบั้มสุด classic ตลอดกาลของวงการ hard rock ในทศวรรษที่ 70 และของทางวงเอง เกือบทุกเพลงในอัลบั้มนี้ฮิตและโด่งดังสร้างชื่อเสียงให้กับทางวงไปทั่วโลก อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้จักเพลงเหล่านี้หากคุณเป็นคอเพลง hard rock เริ่มตั้งแต่ Highway Star, Pictures of Home, Never Before, Lazy, Space Truckin หรือเพลงที่มี riff กีตาร์สุดอมตะอย่าง Smoke on the Water เพลงที่เด็กหนุ่มทุกคนที่อยากจะเป็นมือกีตาร์สาย rock ต่างต้องเคยแกะเล่นและต้องผ่านเพลงนี้ให้ได้
     อัลบั้มนี้คือความลงตัวทั้งหมดตั้งแต่ฝีมือของสมาชิกในวง, ไลน์กีตาร์อันดุดันและรวดเร็ว และความเร่าร้อนของภาคริธึ่ม หากคุณอยากรู้ว่างานดนตรีที่เรียกกันว่า classic album นั้นเป็นยังไง อัลบั้มนี้มีคำตอบให้คุณอย่างครบถ้วนของความเป็นดนตรี hard rock

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

THIN LIZZY



Artist : THIN LIZZY
Album : Jailbreak
Year : 1976
Genre : Hard Rock
Country : Ireland

line up
Phil Lynott - bass, lead vocals, acoustic guitar
Scott Gorham - guitars
Brian Robertson - guitars
Brian Downey - drums, percussion

     Irish hard rock band หนึ่งเดียวที่ยังอยู่ในใจของนักฟังหลายๆ คน แม้จะไม่ได้ฟังเพลง rock เพราะเกือบทุกอัลบั้มของวงนี้จะต้องมี hit single ติดอันดับในชาร์ทและติดหูแฟนเพลงเสมอ แม้ซาวด์โดยรวมของดนตรีจะมีไลน์กีตาร์กับภาครึธึ่มที่หนาแน่นอยู่บ้าง แต่ก็แฝงไว้ด้วยเมโลดี้สวยๆ และท่อนฮุคที่ฟังเพียงแค่ครั้งเดียวก็ติดหู ซึ่งก็มาจากฝีมือการเขียนเพลงของ Phil Lynott มือเบสที่เปรียบเสมือนเป็นผู้นำของวงนั่นเอง อย่างในอัลบั้มนี้ก็มีหลายๆ เพลง ซึ่งแฟนเพลงของวงต่างยังจดจำกันได้ดี อาทิเช่น The Boys Are Back in Town, Cowboy Song หรือ Jailbreak ที่ขึ้นชั้นทำเนียบว่าเป็นเพลง classic rock ชั้นดีไปแล้ว
     ถึงแม้ THIN LIZZY จะแยกย้ายกันไปตั้งแต่ปี 1983 และตัวของ Phil จะเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1986 แต่งานของทางวงถือเป็นซาวด์ดนตรี hard rock ที่ส่งอิทธิพลให้กับวงดนตรี rock หลายๆ วงในทศวรรษที่ 80 อย่างมาก... ดนตรี hard rock ที่ซ่อนกลิ่นอายของความสวยงามไว้ภายใต้ความรุนแรง น่าจะพอเป็นนิยามที่ใกล้เคียงสำหรับงานดนตรีของวงนี้

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Ozzy Osbourne



Artist : Ozzy Osbourne
Album : Blizzard of Ozz
Year : 1980
Genre : Heavy Metal
Country : England

line up
Ozzy Osbourne - lead vocals
Randy Rhoads - guitars
Bob Daisley - bass, backing vocals
Lee Kerslake - drums
Don Airey - keyboards

     หลังจากที่ต้องถูกเชิญให้ระเห็จออกจากวง Black Sabbath โทษฐานเมาและติดเหล้าเกินขนาด จนต้องปิดฉากความรุ่งโรจน์ของตัวเองกับวงในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งความเป็น Black Sabbath ตัว Ozzy ก็ตัดสินใจฟอร์มวงของตัวเองขึ้นมาทันทีในฐานะศิลปินเดี่ยว โดยได้มือกีตาร์หนุ่มคู่กายนามว่า Randy Rhoads มาเป็นคู่หูและช่วยเขียนเพลง และจากพื้นฐานทางด้านดนตรี classic อันแน่นปึ้กของ Randy ก็ส่งผลให้งานเปิดตัวชุดนี้ในนามศิลปินเดี่ยวของ Ozzy เต็มไปด้วยสีสัน และเมโลดี้อันสวยงามของทางเดินกีตาร์ และส่งอิทธิพลต่อมือกี่ตาร์หนุ่มคนอื่นๆ ในแวดวง ก่อนจะเกิดนิยามของงานในแบบ guitar hero ตามมาที่เน้นความโดดเด่นของไลน์กีตาร์เป็นตัวขับเคลื่อนในสาขาดนตรี metal
     ความโด่งดังของอัลบั้มชุดนี้ทำให้ตัว Ozzy สามารถลบคำที่เคยถูกปรามาสหลังจากออกจากวง Black Sabbath มาว่าคงไปไม่รอดได้สำเร็จ ซึ่งเครดิตตรงนี้ส่วนหนึ่งก็คือฝีมือทางกี่ตาร์ของ Randy ด้วยนั่นเอง จนเป็นบรรทัดฐานมาตลอดสำหรับ Ozzy เมื่อจะหามือกี่ตาร์คนใหม่มาร่วมวง แต่ละคนคนต้องมีสไตล์การเล่นที่แตกต่าง และมีเอกลักษณ์ที่เฉียบคม... อัลบั้มนี้คือตัวอย่างงานชั้นดีสำหรับคนที่ต้องการเป็น guitar hero ในสาย metal ต้องศึกษา

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

HEAVEN & HELL



Artist : HEAVEN & HELL
Album : The Devil You Know
Year : 2009
Genre : Heavy Metal
Country : England

line up 
Ronnie James Dio - lead vocals
Tony Iommi - guitar
Geezer Butler - bass
Vinny Appice - drums

     Ronnie James Dio นั้นเคยมาร่วมวง Black Sabbath ของ Tony Iommi ก่อนหน้านี้แล้วถึง 2 ครั้งในปี 1980 และ 1992 ซึ่งก็ทำให้วงการ metal สั่นสะเทือนทุกครั้งเมื่อทั้งคู่มาทำงานร่วมกัน และครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้จะไม่ได้มาทำงานกันในนามวง Black Sabbath เหมือนเช่นเคย แต่ก็สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการ metal อีกครั้ง เสียงร้องของ Dio และเสียงกีตาร์ของ Iommi นั้นคือมนต์ขลังอันแสนดุดันสะกดอารมณ์ แม้จะอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต Dio แล้ว แต่เสียงของเขานั้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง จนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือเสียงร้องของคนป่วยโรคมะเร็ง!!! ก่อนที่ปีถัดมา Dio ก็ได้จากเหล่าแฟนเพลง metal และเพื่อนๆ ไป
     อัลบั้มชุดนี้ในนามวง HEAVEN & HELL จึงเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่ Dio ได้ทิ้งไว้ให้แฟนเพลง เราชาว metal ทุกคน ขอสดุดีและยกย่องผลงานทุกชิ้นที่คุณได้ทำไว้ หลับให้สบายเถิด... rest in peace Ronnie James Dio...

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

MOTÖRHEAD


 
Artist : MOTÖRHEAD
Album : The World is Yours
Year : 2010
Genre : Heavy Metal
Country : England

line up
Lemmy (Ian Kilmister) - lead vocals, bass
Phil Campbell - lead & rhythm guitars, backing vocals
Mikkey Dee - drums

     Lemmy กับผองเพื่อนหัวรถจักรมหาประลัย MOTÖRHEAD มาพร้อมกับงานใหม่ในแบบฉบับของ metal sound ที่เล่นกันในสไตล์ hard rock boogie ที่ยังคงอัดกันไม่ยั้งตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายปิดอัลบั้ม ขอแนะนำให้ฟังรวดเดียวทั้งอัลบั้ม และเร่ง volume ให้ดังที่สุด เพื่ออรรถรสที่ครบถ้วน แล้วคุณจะหลงรักวงนี้มากขึ้น อีกทั้งยังจะไม่แปลกใจว่าทำไมวงนี้จึงเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างไม่มีวันอ่อนล้าและอยู่ยงคงกระพันในวงการนัก... welcome to the world of MOTÖRHEAD

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

IRON MAIDEN



Artist : IRON MAIDEN
Album : The Final Frontier
Year : 2010
Genre : Heavy Metal
Country : England

line up
Steve Harris - bass
Dave Murray - lead & rhythm guitars
Adrian Smith - lead & rhythm guitars, backing vocals
Bruce Dickinson - lead vocals
Nicko McBrain - drums, percussion
Janick Gers - lead & rhythm guitars

     Studio album ล่าสุดที่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นและทรงพลังอย่างไม่เสื่อมคลาย นิยามและตำนานของวง Metal ชั้นดีที่ยังอยู่บนบัลลังก์และยังไม่มีวงไหนสามารถมาเทียบเคียงได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้!!!